SwitchOS และ RouterOS เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้กับอุปกรณ์ MikroTik โดยแต่ละตัวมีจุดเด่นและการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เน้นย้ำว่า SwitchOS ออกแบบมาสำหรับงานสวิตช์ (Switching) ส่วน RouterOS ออกแบบมาสำหรับงานเราเตอร์ (Routing) เรามาดูความแตกต่างกันแบบละเอียดด้านต่าง ๆ
🔹 1. วัตถุประสงค์หลักของระบบปฏิบัติการ
คุณสมบัติ |
SwitchOS |
RouterOS |
ออกแบบมาเพื่อ |
ใช้งานเป็นสวิตช์เครือข่าย (Layer 2 Switching) |
ใช้งานเป็นเราเตอร์ (Layer 3 Routing) |
ความสามารถหลัก |
จัดการการรับ-ส่งแพ็กเก็ตภายในเครือข่าย LAN อย่างรวดเร็ว |
กำหนดเส้นทางเครือข่าย (Routing), Firewall, VPN และฟีเจอร์เครือข่ายขั้นสูง |
🔹 2. ฟังก์ชันการทำงาน
คุณสมบัติ |
SwitchOS |
RouterOS |
การสลับแพ็กเก็ต (Packet Forwarding) |
ทำงานที่ Layer 2 (Data Link) ใช้ MAC Address เป็นหลัก |
ทำงานที่ Layer 3 (Network) ใช้ IP Address เป็นหลัก |
การทำ VLAN |
รองรับ VLAN (802.1Q) |
รองรับ VLAN และสามารถทำ Inter-VLAN Routing ได้ |
การกำหนดเส้นทาง (Routing) |
ไม่มีฟังก์ชันการกำหนดเส้นทาง (ทำ Layer 2 Switching เท่านั้น) |
มีฟังก์ชัน Routing เช่น Static Route, OSPF, BGP |
การทำ NAT (Network Address Translation) |
ไม่รองรับ |
รองรับ NAT สำหรับจัดการ IP Address |
Firewall |
ไม่มีระบบ Firewall |
มี Firewall สำหรับควบคุมทราฟฟิก เช่น Filter, Mangle, NAT |
QoS (Quality of Service) |
จำกัดเฉพาะการจัดลำดับความสำคัญของพอร์ต (Port-Based QoS) |
รองรับการควบคุมแบนด์วิดท์ที่ละเอียด เช่น Queue, PCQ |
VPN (Virtual Private Network) |
ไม่รองรับ |
รองรับ VPN หลายรูปแบบ เช่น PPTP, L2TP, IPsec, WireGuard |
🔹 3. อินเทอร์เฟซการใช้งาน
คุณสมบัติ |
SwitchOS |
RouterOS |
Web Interface |
มีเว็บ GUI ใช้งานง่าย |
มี Web GUI แต่ยังเน้น CLI และ Winbox |
Winbox Support |
ไม่รองรับ |
รองรับ (ใช้งานง่ายและทรงพลัง) |
Command Line Interface (CLI) |
ไม่มี CLI |
มี CLI สามารถตั้งค่าผ่าน Terminal ได้ |
🔹 4. ประสิทธิภาพการทำงาน
คุณสมบัติ |
SwitchOS |
RouterOS |
การประมวลผลข้อมูล |
ใช้ฮาร์ดแวร์ Switching Chipset ทำให้เร็วกว่า |
ใช้ CPU เป็นหลัก ทำให้ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับรุ่นของอุปกรณ์ |
การประมวลผลทราฟฟิกขนาดใหญ่ |
ทำได้ดีมากเพราะเป็น Hardware Switching |
อาจเกิด Bottleneck ถ้าภาระงานสูงและอุปกรณ์ไม่แรงพอ |
Latency (ความหน่วงของเครือข่าย) |
ต่ำมาก เพราะใช้การ Forwarding ผ่าน Hardware |
สูงกว่า SwitchOS เพราะต้องใช้ CPU |
🔹 5. ตัวอย่างการใช้งาน
สถานการณ์ |
เลือก SwitchOS |
เลือก RouterOS |
เครือข่ายภายในองค์กรที่ต้องการความเร็วสูง |
✅ ใช้เป็น Core Switch หรือ Edge Switch |
❌ ไม่เหมาะ |
เชื่อมต่อเครือข่ายหลายสาขาผ่าน VPN |
❌ ไม่รองรับ VPN |
✅ รองรับ VPN เชื่อมโยงเครือข่าย |
ควบคุมการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตของพนักงาน (Firewall, NAT, QoS) |
❌ ทำไม่ได้ |
✅ ทำได้ |
ทำ Load Balancing เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลายเส้น |
❌ ไม่รองรับ |
✅ รองรับการทำ Load Balancing |
กระจาย Wi-Fi ให้กับออฟฟิศหรือหอพัก |
✅ ใช้เป็น Switch เชื่อมต่อ Access Point |
✅ ใช้เป็น Gateway และจัดการ DHCP |
🔹 6. อุปกรณ์ที่ใช้ SwitchOS และ RouterOS
อุปกรณ์ MikroTik |
SwitchOS |
RouterOS |
Cloud Smart Switch (CSS) Series |
✅ ใช้ SwitchOS เท่านั้น |
❌ ไม่รองรับ |
Cloud Router Switch (CRS) Series |
✅ ใช้ SwitchOS หรือ RouterOS ได้ (เลือกได้) |
✅ ใช้ RouterOS ได้ |
Router Series เช่น hEX, RB, CCR |
❌ ไม่รองรับ |
✅ ใช้ RouterOS |
หมายเหตุ: อุปกรณ์ตระกูล CRS ของ MikroTik สามารถเลือกใช้ SwitchOS หรือ RouterOS ได้ตามความต้องการ เช่น ถ้าต้องการให้ทำงานเป็น Switch ก็ใช้ SwitchOS แต่ถ้าต้องการให้ทำงานเป็น Router ก็ใช้ RouterOS
🔹 สรุปแบบง่ายๆ
- SwitchOS = ใช้สำหรับ Switching (L2) เท่านั้น → เร็ว, รองรับ VLAN, ใช้งานง่าย, แต่ไม่มี Routing และ Firewall
- RouterOS = ใช้สำหรับ Routing (L3), Firewall, VPN, NAT, Load Balancing → ยืดหยุ่น, ตั้งค่าได้หลากหลาย, รองรับการจัดการเครือข่ายที่ซับซ้อน
หากต้องเลือกใช้งาน: ✅ ถ้าต้องการทำงานเป็น Switch อย่างเดียว → ใช้ SwitchOS
✅ ถ้าต้องการ Routing, Firewall, VPN → ใช้ RouterOS
✅ ถ้าใช้อุปกรณ์ CRS และต้องการให้เป็น Switch → ใช้ SwitchOS
✅ ถ้าใช้อุปกรณ์ CRS และต้องการให้เป็น Router → ใช้ RouterOS